Contact info
รากฟันเทียม (Dental Implants) คืออะไร? ขั้นตอน ข้อดีข้อเสีย

การสูญเสียฟัน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรูปลักษณ์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการพูด เคี้ยวอาหาร และความมั่นใจในชีวิตประจำวัน ผู้ที่เผชิญปัญหาฟันหายอาจรู้สึกไม่สะดวกเวลารับประทานอาหาร หรือกังวลเรื่องภาพลักษณ์ รากฟันเทียมจึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมและพิสูจน์แล้วว่าสามารถคืนรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตให้กับคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ ทุกแง่มุมของรากฟันเทียม ทั้งข้อดี ข้อเสีย ขั้นตอนการรักษา และคำแนะนำเพื่อประกอบการตัดสินใจ
รากฟันเทียมคืออะไร?
รากฟันเทียม (Dental Implants) คือวัสดุที่ออกแบบมาเพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยทั่วไปผลิตจากไทเทเนียมหรือเซรามิก ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี รากเทียมจะฝังลงในกระดูกขากรรไกรเพื่อรองรับฟันปลอม ครอบฟัน หรือสะพานฟันที่ติดอยู่ด้านบน ให้ความแข็งแรงใกล้เคียงฟันแท้มากที่สุด
ประโยชน์ของการทำรากฟันเทียม
- ช่วยให้การเคี้ยวอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ป้องกันกระดูกขากรรไกรยุบตัว
- คืนรูปร่างและความสวยงามให้ใบหน้า
- เพิ่มความมั่นใจในการพูดและยิ้ม
- ไม่ต้องพึ่งพาฟันข้างเคียง (ต่างจากการทำสะพานฟัน)
- อายุการใช้งานยาวนานและดูแลรักษาได้ง่าย
ใครเหมาะกับการทำรากฟันเทียม?
- ผู้ที่สูญเสียฟันและต้องการการทดแทนที่มั่นคง
- มีสุขภาพช่องปากดีและกระดูกขากรรไกรแข็งแรง
- ไม่สูบบุหรี่จัด
- ไม่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผล เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
ใครไม่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม?
- ผู้ที่ขากรรไกรยังไม่หยุดการเจริญเติบโต (เช่น เด็กและวัยรุ่น)
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวควบคุมไม่ได้ เช่น เบาหวานขั้นรุนแรง
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยรังสีบริเวณศีรษะหรือคอ
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด (อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวของการรักษา)
รากฟันเทียมมีกี่ประเภท?
การทำรากฟันเทียมสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามเทคนิคและเวลาการทำ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพช่องปากและความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนี้:
1. รากฟันเทียมแบบดั้งเดิม (Conventional Implant)
เป็นวิธีมาตรฐานที่นิยมมากที่สุด โดยจะมีการถอนฟันที่มีปัญหาออกก่อน รอให้กระดูกขากรรไกรและแผลหายสนิทประมาณ 3-6 เดือน แล้วจึงทำการฝังรากฟันเทียม ข้อดีคือมีความมั่นคงและโอกาสสำเร็จสูง
2. รากฟันเทียมหลังถอนฟันทันที (Immediate Implant)
วิธีนี้จะฝังรากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟันเสร็จ ช่วยลดจำนวนครั้งในการผ่าตัดและระยะเวลาการรักษา แต่ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกระดูกขากรรไกรและการประเมินจากทันตแพทย์
3. รากฟันเทียมโหลดเร็ว (Immediate Loaded Implant)
เป็นวิธีที่สามารถติดครอบฟันหรือฟันปลอมบนรากฟันเทียมได้ในเวลาอันสั้นหลังจากการฝังราก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟันใช้งานเร็ว แต่ต้องมีสภาพกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงและการสบฟันที่เหมาะสม
4. รากฟันเทียมแบบ All-on-4 หรือ All-on-6
เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่หรือต้องการฟื้นฟูทั้งขากรรไกร โดยใช้รากฟันเทียมเพียง 4 หรือ 6 ตัว เพื่อรองรับสะพานฟันทั้งแถว ลดจำนวนรากที่ต้องฝังและค่าใช้จ่ายรวม
หมายเหตุ: การเลือกประเภทของรากฟันเทียมควรปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อประเมินตามสภาพช่องปากและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
ตัวเลือกแบรนด์รากฟันเทียมยอดนิยม
รากฟันเทียมมีหลากหลายแบรนด์ ซึ่งมีคุณสมบัติและระดับราคาต่างกัน ได้แก่:
- Straumann (สวิตเซอร์แลนด์): มาตรฐานสูงระดับโลก แข็งแรงและมีการรับประกันยาวนาน
- Nobel Biocare (สวีเดน): เด่นด้านการออกแบบที่ทันสมัยและมีโอกาสยึดเกาะกระดูกสูง
- Osstem (เกาหลีใต้): ราคาเหมาะสม คุณภาพดี เป็นที่นิยมในเอเชีย
- MIS (อิสราเอล): คุณภาพสากร ราคาเข้าถึงง่าย
การเลือกแบรนด์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากคำแนะนำของทันตแพทย์ ร่วมกับงบประมาณและความต้องการของผู้ป่วย
รากฟันเทียมมีขั้นตอนการทำอย่างไร?
การวางแผนและประเมินสุขภาพช่องปาก
- ตรวจช่องปากและกระดูกขากรรไกรด้วยเอกซเรย์หรือ CT Scan
- ซักประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว
- วางแผนการรักษาโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง
การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
- ให้ยาชาเฉพาะที่
- ผ่าตัดฝังรากฟันเทียมในตำแหน่งที่ต้องการ
- รอให้กระดูกยึดกับรากเทียม (ใช้เวลา 3-6 เดือน)
การดูแลหลังทำ
- หลีกเลี่ยงอาหารแข็งในระยะเริ่มต้น
- รักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
- พบทันตแพทย์ตามนัดหมาย
อายุการใช้งานของรากฟันเทียม
ด้วยการดูแลที่เหมาะสม รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้นาน 10-25 ปี หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมการดูแลตนเอง
(ดูบทความเพิ่มเติม: อายุการใช้งานของรากฟันเทียม)
ค่าใช้จ่ายของรากฟันเทียม
ราคาของรากฟันเทียมจะแตกต่างตามวัสดุที่ใช้ ยี่ห้อ จำนวนรากฟัน และความซับซ้อนของแต่ละกรณี โดยเริ่มต้นตั้งแต่ 27,500 บาทต่อรากในกรณีมาตรฐาน
(ดูบทความเพิ่มเติม: ค่าใช้จ่ายของรากฟันเทียม)
สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง
(ดูบทความเพิ่มเติม: สิทธิประโยชน์)
บางกรณีประกันสุขภาพหรือสิทธิ์สวัสดิการของบริษัทอาจครอบคลุมค่าใช้จ่ายบางส่วน ควรสอบถามและตรวจสอบกับผู้ให้บริการประกันก่อนเข้ารับการรักษา
ข้อเสียและความเสี่ยงของการทำรากฟันเทียม
- ค่าใช้จ่ายสูง กว่าการทำฟันปลอมทั่วไป
- ระยะเวลารักษานาน อาจใช้เวลาหลายเดือน
- ความเสี่ยงด้านการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ การบาดเจ็บของเส้นประสาท หรือโพรงไซนัส
- ต้องมีวินัยในการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเคร่งครัด
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือสูบบุหรี่จัด อาจเสี่ยงต่อความล้มเหลวของรากฟันเทียม
FAQ: คำถามที่พบบ่อย
ขณะทำไม่เจ็บเพราะมีการให้ยาชา อาจมีอาการปวดบวมเล็กน้อยหลังผ่าตัดซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด
ยี่ห้อยอดนิยม เช่น Straumann, Osstem, Nobel Biocare แต่ควรเลือกตามคำแนะนำของทันตแพทย์
ถ้าทำโดยทันตแพทย์เฉพาะทางและดูแลตามคำแนะนำ ความเสี่ยงจะต่ำมาก
โดยทั่วไปควรจัดฟันให้เสร็จก่อน แต่หากจำเป็น ทันตแพทย์จะพิจารณาเป็นรายกรณี
แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน หลีกเลี่ยงของแข็ง งดสูบบุหรี่ และไปพบทันตแพทย์เป็นประจำ
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ
- ปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเหมาะสม
- เตรียมตัวสำหรับระยะเวลาในการรักษาที่อาจยาวนาน
- พิจารณาค่าใช้จ่ายและสิทธิประโยชน์ที่มี
- ปรับพฤติกรรมการดูแลช่องปากเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรากฟันเทียม หรือคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ลองดูข้อมูลจาก Digital Dental Center ซึ่งมีบทความและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม